พ่อแม่คือต้นแบบของการก้าวเดินไปข้างหน้า หากพ่อแม่ล้มลงจะสอนลูกอย่างไรให้ลุกขึ้นยืนให้ได้ สถาบันครอบครัวย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการเรียนรู้และเป็นจุดเริ่มต้นของการที่จะรู้โลกภายนอก พ่อแม่คือหนังสือตัวอย่างที่น่ายกย่องและพร้อมให้ลูกๆได้เปิดอ่านเพื่อทำความเข้าใจ แล้วจะรู้ว่าหนังสือที่ดีที่สุดในโลกคือหนังสือเล่มที่ถืออยู่นี่เอง
ประเทศไทยมีผลการสำรวจด้านการอ่านหนังสือคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมากๆเฉลี่ยร้อยละ
50-60 ต่อปี นั่นเท่ากับว่าการอ่านหนังสือต่อวันต่อเดือนและต่อปีนั้นไม่มากเท่าที่ควร
เหตุและผลอาจมาจากหลายปัจจัยด้วยกัน
เริ่มจากภายในครอบครัวที่เป็นส่วนสำคัญสำหรับการเพิ่มแนวโน้มของลักษณะนิสัยรักการอ่านให้กับสมาชิกในครอบครัวตั้งแต่ยังเป็นเด็ก หากครอบครัวไหนที่พ่อแม่หรือพี่น้องมีนิสัยชอบการอ่านหนังสือและสนใจค้นคว้าหาความรู้อยู่ตลอดเวลาโอกาสที่จะเกิดการซึมซับของสมาชิกคนอื่นๆก็เป็นไปได้มาก แต่ก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอไป ไม่ว่าอย่างไรการถูกปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็กให้รู้จักการอ่าน
รู้จักรักหนังสือและเห็นความสำคัญของความรู้ เด็กก็จะมีการจดจำที่ดีต่อการอ่านหนังสือ
ปัจจัยด้านลบต่อการอ่านหนังสือ
สมาชิกในบ้านไม่อ่านหนังสือและไม่ได้ปลูกฝังการอ่านให้กับสมาชิกคนอื่นๆ โดยเฉพาะเด็กๆจึงเคยชินกับการไม่อ่านหนังสือและเกิดอาการขี้เกียจหรือไม่ชอบเวลาต้องหยิบจับหนังสือขึ้นมาอ่าน หลายครอบครัวมีปัญหาที่ว่าเด็กอ่านหนังสือไม่ออก
ส่วนหนึ่งอาจมีผลอย่างมากกับครอบครัวที่ผู้ปกครองไม่รู้หนังสือจึงไม่สามารถที่จะสอนบุตรหลานตนเองได้ ต้องพึ่งพาอาศัยครูซึ่งก็ช่วยได้ต่อเมื่อเด็กไปโรงเรียนแต่เมื่อกลับมาที่บ้านไม่มีคนบอกกล่าวหรือหัดเพิ่มเติมเด็กในบ้านเหล่านี้อาจมีทักษะด้านการอ่านช้ากว่าเด็กคนอื่นๆแต่ไม่ได้หมายความว่าจะอ่านไม่ได้ ถ้ามีความเพียรพยายามก็จะสำเร็จ
ซึ่งอาจต้องอาศัยความพยายามมากขึ้นหน่อยเมื่อเทียบกับเด็กที่ได้รับการเรียนพิเศษ
แต่กระนั้นการเรียนพิเศษเองก็ไม่ได้แก้ปัญหาให้กับเด็กหรือผู้เรียนทุกคนได้ดีเสมอไป หลักๆขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละบุคคล
ปัญหาในเรื่องที่ว่าพ่อแม่เข้มงวดกับลูกมากจนเกินไปนั้น
แน่นอนว่าพ่อแม่ทุกคนอยากเห็นลูกของตัวเองมีชีวิตต่อไปในอนาคตที่ดี หากแต่นั่นก็คือข้อเสียที่สำคัญอีกเหตุผลหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดทัศนะคติที่ไม่ดีที่เด็กมีต่อการอ่านหนังสือได้
การเข้มงวดกวดขันเป็นการสร้างวินัยที่ดีให้แก่ตนเองและคนที่ได้รับการอบรม
แต่หากการเข้มงวดมีมากจนเกินไปกลับกลายเป็นความกดดันแล้วละก็กระบวนการคิดก็จะเปลี่ยนไปในแง่ลบทันที
เมื่อเด็กเกิดการกดดันกับสภาวะที่ต้องตื่นเช้าไปโรงเรียนกลับจากที่โรงเรียนไปเรียนพิเศษต่อแล้วยังต้องกลับมาอ่านทวนด้วยตัวเองอีก
อีกทั้งพ่อแม่ยังตั้งความหวังในเรื่องการเรียนไว้สูง
จึงทำให้ชีวิตต้องดิ้นรนแข่งขันอย่างเหน็ดเหนื่อยกับผู้อื่นตลอดเวลา
บางครอบครัวหักโหมถึงขั้นการกระทำของลูกต้องอยู่ในสายตาตลอด ยิ่งสร้างความเกลียดชังในจิตใจให้แก่เด็ก
ไม่เพียงแค่จะไม่ชอบและเข็ดกับการอ่านหนังสือหากเป็นกิจกรรมอื่นๆที่พ่อแม่เป็นคนคัดสรรค์ให้
เด็กๆก็จะรู้สึกไม่ชอบไปด้วยและพาลไม่อยากที่จะทำอะไรอีกเลย
หรือไม่ในทางกลับกันเด็กอีกประเภทหนึ่งมักจะมีนิสัยหรือพฤติกรรมที่หวาดระแวงอยู่ในส่วนลึก
เนื่องจากถูกปลูกฝังมาเรื่องการปฏิบัติตัวให้ได้ดีในวันข้างหน้า
จึงเกิดการคิดที่ว่าต้องทำให้ได้อยู่ตลอดเวลาซึ่งเมื่อพ่อแม่สร้างความกดดันให้แก่เด็กเด็กจึงเกิดการกดดันกับตัวเองอีกทีหนึ่ง
เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้เวลาเด็กอยู่ต่อหน้าพ่อแม่อาจทำเป็นอ่านหนังสือหรือทำในสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ
แต่พอลับหลังกลับโยนทิ้งทุกสิ่งและนี่ก็เป็นพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงความเบื่อหน่ายที่ผ่านมา
สิ่งแวดล้อมก็เป็นอีกหนึ่งความสำคัญที่มีผลต่อการอ่านหนังสือ
รวมทั้งค่านิยมทางสังคม
แต่หากว่ามีความรักให้กับการอ่านหนังสือจากตนเองจริงๆแล้วนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถมีอะไรมากระทบให้จิตใจหวั่นไหวได้ต่อให้อยู่ในสภาพแวดลอมที่ไม่ดี
เราก็ยังจะเป็นคนที่มีนิสัยรักการอ่านอยู่นั่นเอง
ชั้นวางหนังสือเด็ก ช่วยให้น้องๆหนูๆจัดหนังสือในบ้านได้เป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้นพร้อมทั้งสามารถหยิบจับมาอ่านได้สะดวก เสริมสร้างนิสัยรักการอ่านของน้องๆหนูๆ
✪ มีให้เลือกหลากหลายสี สีแฟนซี สีขาว สีเขียว สีวอลนัท สีไม้สัก
สีฟ้า สีชมพู
✪ ขนาด (กว้างxสูงxลึก) 90x90x30 เซนติเมตร
✪ ผลิตจากไม้อัดปาร์ติเกิ้ลบอร์ด จากโรงงานมาตรฐาน ISO9000
✪ สามารถจัดวางหนังสือได้ตั้งแต่ 20-50 เล่ม (ขึ้นอยู่กับความหนาบาง)
✪ สีสันสดใสสวยงาม สร้างจุดเด่นให้มุมหนังสือของน้องๆหนูๆ
✪ แข็งแรงทนทาน เพราะไม้แต่ละแผ่นหนาถึง 15 มิลลิเมตร
เยี่ยมชมสินค้าทั้งหมดของร้านได้ที่
สอบถามสินค้าได้ที่
ดูวิดิโอได้ที่
แอดไลน์ได้ที่
หรือLine ID: @kidfurniche
โทร 0816592442
จำหน่ายทั้งปลีกและส่งค่ะ